วันคืนหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามวาระของธรรมชาติ
ฤดูหนาวกำลังจะผ่านไป และฤดูร้อนพร้อมที่จะเข้ามา
เป็นกฎแห่งธรรมที่ทำให้มนุษย์อย่างเราๆ ต้องตกอยู่ในกระแสของธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ตาม ธรรมชาติย่อมเป็นไปอย่างนี้
แม้จะชอบใจฤดูหนาวมากเพียงใดก็ตาม พอถึงคราวฤดูหนาวก็ย่อมจากไปเป็นธรรมดา และแม้ว่าจะรังเกียจฤดูร้อนมากมายเท่าใดก็ตาม พอถึงคราว ฤดูร้อนก็จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่างแน่นอน คนที่ไม่ล่วงรู้เท่าทันในกฎของธรรมชาติ ก็จะเป็นทุกข์ เพราะยึดติดอยู่ในความชอบใจและไม่ชอบใจของตนเป็นสรณะ
ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าว ก็เพราะว่าผมเองนั้นเคยชอบใจและยึดติดในสิ่งต่างที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอากาศที่เย็นสบาย การแต่งกายที่ต้องแปรเปลี่ยนไป อาหารการกิน ผลไม้ งานเทศกาล ล้วนแต่อยู่ในช่วงของฤดูหนาวทั้งสิ้น ดังนั้นช่วงฤดูหนาวจึงเป็นช่วงเวลาโปรดที่สุดของผม
เหมือนจิตรกรชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อ Andrew Wyeth ที่เขียนรูปที่ชื่อ “Spring” ที่ผมเอามาลงให้ดู ดูแล้วบางท่านอาจแปลกใจว่าชื่อภาพว่า ฤดูใบไม้ผลิ
แต่ในภาพเห็นเป็นรูปชายชรานอนหงายอยู่ในกองหิมะสีขาวหย่อมหนึ่ง ในทุ่งหญ้าที่ดูเหมือนเป็นเนินเขาริมทะเล
เห็นครั้งแรก บางคนอาจคิดว่าชายคนนี้ตายแล้ว เพราะดูสภาพร่างกายขาวซีด แต่ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่าใบหน้ายังมีสีเลือดฝาดโดยเฉพาะที่โหนกแก ้ม จึงรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
แต่มีปัญหาผุดขึ้นมาถามว่า เขามาทำอะไรอยู่ที่นี้?
หากยังไม่เข้าใจ ลองหันมองกลับไปดูรายละเอียดของภาพอีกครั้ง จะเห็นว่าสภาพทุ่งหญ้าที่เขานอนอยู่นี้ ไม่ใช่สถานที่เปลี่ยว เพราะเห็นมีรอยทางรถบรรทุกผ่านไปเป็นร่องลึกเห็นได้ชัดเจนทั้งส องรอย แสดงว่ามีคนผ่านไปมาอยู่เสมอ...แต่ชายชราผู้นี้มานอนอยู่ที่นี่ ทำไม?และเพื่ออะไร?
คำเฉลยก็คือ... คุณเคยรู้จักคนอย่างนี้ไหม?
คนที่หลงใหลในฤดูกาลเหมือนอย่างที่ผมเกริ่นครั้งแรก เมื่อคราฤดูหนาวจะจากไป ในช่วงรอยต่อของฤดูกาลใหม่จะเข้ามา ชายชราคนนี้อยากจะเก็บอารมณ์และความรู้สึกที่จะสัมผัสถึงวินาที สุดท้ายของฤดูหนาวที่จะลาจากไป
เขาตัดสินใจถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด แล้วทรุดตัวลงนอนหงายในกองหิมะกองสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่เบื้องหน้า กอบเอาหิมะมาปกคลุมร่างกายให้มากเท่าที่จะทำได้ แล้วนอนนิ่ง เฉย วางจิตใจให้สงบและรอคอย
เขาเป็นบ้าไปหรือปล่าว?
ตรงกันข้าม ผมว่าเขารู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ มีสติและสัมปชัญญะสมบูรณ์พรั่งพร้อม
เขานอนเพื่อสัมผัสและรับรู้ในทุกๆช่วงเวลาแห่งอณูของฤดูกาล...เหมันตฤดู ความเยือกเย็นหนาวของหิมะกองสุดท้ายบนร่างของเขา ที่กำลังละลายไปอย่างช้าๆ ด้วยอำนาจของความอบอุ่นแห่งฤดูร้อนที่กำลังคืบคลานเข้ามา
เขานอนอยู่ตรงนั้น อย่างนิ่งสงบ คอยรับรู้อย่างลึกซึ้งทุกช่วงเวลาของฤดูหนาวที่จะอำลาจากไปผ่านทุกส่วนประสาทรับรู้ และรับรู้ช่วงรอยต่อของฤดูร้อนและฤดูหนาวที่มาบรรจบกัน
สิ่งหนึ่งกำลังจากไป อีกสิ่งหนึ่งกำลังเข้ามา...ในขณะเดียวกัน
ฟังดูลึกซึ้งและโรแมนติกไหมครับ?
เช่นเดียวกันที่เรากำลังผ่านช่วงเวลาแห่งความสุข เช่น งานเฉลิมฉลองในงานเทศกาลต่างๆที่มีมากมายในช่วงฤดูกาลที่เพิ่งผ ่านไป แต่ในขณะเดียวกันภารกิจและงานต่างๆของชีวิตกำลังพรั่งพรูเข้ามา บางคนแทบไม่อยากลุกขึ้นมาจากที่นอนในเช้าของวันใหม่ เช่นในช่วงเช้าวันจันทร์
แถมก่อนจะลุกยังนอนอิดออด หวนนึกถึงเย็นวันศุกร์
จะนอนฝันต่ออีกสักหน่อย...หน้ายักษ์ของใครบางคนกลับโผล่ขึ้นมา
ต้องรีบลุกตาลีตาเหลือก ไปทำงาน
ดูรูปของ Wyeth แล้ว รู้สึกว่าชีวิตมีความหมายมากขึ้น ที่จะเรียนรู้และรับสัมผัสในความเป็นจริงของธรรมชาติ โดยไม่สนใจว่าโลกภายนอกจะหมุนไปอย่างไร
เพราะโลกแห่งการรับรู้ภายในกำลังหมุนอยู่
ผมนำรูปนี้มาให้ดู มิใช่ตั้งใจมาสอนวิชาสุนทรียศาสตร์ แต่มาเปรียบเทียบกับการปฏิบัติธรรม คือการเจริญสติ
ลองหมุนภาพนี้กลับเป็นตัวเรานอนกำหนดอยู่
สิ่งที่เรากำลังรับและรู้อยู่คือ อารมณ์ที่เข้าสัมผัสกับจิต
ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางกายทวาร ที่กระทบกับหิมะ กระทบกับความเย็น ความชุ่มชื้น ความลื่นไหลของหิมะที่แปรสภาพจากของแข็งเป็นของเหลวบนร่างกาย
เป็นท่านจะกำหนดรู้อย่างไร?
ส่วนเวทนานั้น แรกๆคงเป็นทุกขเวทนา ที่เกิดจากความความเยือกเย็นของวัตถุที่กายสัมผัสอยู่ ใหม่ๆคงเยือกเย็นจนหนาวเหน็บ เย็นจนกระทั่งความเย็นนั้นแปรสภาพเป็นความเจ็บปวด ชา หนัก เป็นความเจ็บปวดที่กล้ามเนื้อหดตัวเกร็งแข็ง
จนร่างกายบางส่วนต้องสั่นกระเพื่อมอย่างควบคุมไม่ได้ ปากเริ่มสั่น หูเริ่มชา กล้ามเนื้อที่แก้มก้น หลัง ศอก ส้นเท้า สั่นระริก เกร็ง กระตุก เต้นไปหมดทั่วร่าง แต่ละอวัยวะของร่างกายเริ่มชาขึ้นมาทีละน้อย ละน้อย จนดูเหมือนจะคล้ายมีไฟกองเล็กๆค่อยๆไหม้ลุกลามไปทุกส่วนของร่างกาย
ความทุกขเวทนานั้นเกือบพุ่งขึ้นมาเกินขีดของกายและใจที่จะทนได้
พลัน ความรู้สึกหนึ่ง ก็เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาใหม่ท่ามกลางความรู้สึกทั้งมวลที่กล่าวมานั้น เป็นความรู้สึกที่สบาย เบา อุ่นแทรกขึ้นมาให้พอรับรู้ได้
ความหยุ่นนิ่มเข้ามาแทนที่ความเยือกแข็ง กลายเป็นความคลาย เบาสบาย
ความอบอุ่นนั้น ขยายตัวมากขึ้น มากขึ้นจากส่วนหนึ่งของร่างกาย ไปหาอีกส่วนหนึ่งของร่างกาย ปากที่สั่นระริก กลับอุ่นมีอากาศอุ่นๆไหลมาเต็มช่องปากและพรั่งพรูลงเข้าไปในปอด ทำให้ต้องเปิดปากอ้ากว้างขึ้นมาอีก
ทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น กล้ามเนื้อที่ทรวงอกขยายตัวได้มากยิ่งขึ้น
ลมวิ่งเข้าไปสู่ปอดได้มากยิ่งขึ้น กลายเป็นพลังความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วกาย
ที่จริง สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นพลังของเตโชธาตุ ที่มีทั้งความเยือกเย็นและความร้อนที่อยู่ในร่างกาย สิ่งที่เรารับและรู้นั้นแปรเปลี่ยนไปทั้งๆที่มาจากธาตุตัวเดียวกัน
เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน
ความร้อน ความเย็น
ความอยากได้ ความไม่อยากได้
ความทุกข์ ความสุข
ความดีงาม และความชั่วร้าย
จะรู้อะไร ขึ้นอยู่กับด้านไหนของเหรียญที่เรารับและรู้อยู่
หากยังรับและรู้เพียงด้านเดียว
โปรดบอกตัวเองว่า ความเข้าใจก็มีเพียงครึ่ง
ปัญญาก็มีเพียงครึ่ง...
ส่วนอีกครึ่งที่เหลืออยู่คือโมหะ...
ที่ยึดติดในความ(หลงว่า)รู้และความเข้าใจนั้น...เรารู้แล้ว
เอ๊ะ! วันนี้อาจารย์พิชัยมาแปลกๆ เขียนไปเขียนมาทำท่าจะเข้าถึงโลกุตรมรรคเอา
เลยขอยุติไว้เพียงเท่านี้